Ad Code

Responsive Advertisement

การใช้งาน SSD Cache Acceleration สำหรับ QNAP NAS


การใช้งาน QNAP NAS เพื่อการจัดเก็บข้อมูล โดยส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์หลักในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการจัดเก็บข้อมูลหรือ Storage Pool เนื่องมีขนาดความจุที่สูงมาก รองรับปริมาณข้อมูลได้มหาศาลได้เป็นอย่างดี แต่การความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลยังช้าเมื่อเทียบกับหน่วยบันทีกข้อมูลแบบ SSD 


แต่การจะใช้งาน SSD เพื่อการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดเลยที่เรียกว่า All Flash NAS ก็จะใช้งบประมาณที่สูง และที่สำคัญขนาดของพื้นที่จัดเก็บข้อมูลก็ไม่มากพอที่จะตอบสนองข้อมูลที่องค์กรต้องการใช้ได้


ดังนั้นการใช้งาน SSD Cache Acceleration เป็นการผสานจุดเด่นของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเข้าด้วยกัน จะช่วยให้การทำงานโดยรวมได้เร็วขึ้น ในขณะที่ยังคงมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มากเพียงพอต่อความต้องการ โดยการนำ SSD ที่ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล (access time) ที่ดีกว่ากว่า เวลาในการหน่วงข้อมูล (latency) ที่น้อยกว่า มาทำหน้าที่แคชหรือที่พักข้อมูล หากมีข้อมูลที่ใช้งานบ่อย ก็สามารถเรียกใช้จากแคชได้เลย แทนที่จะไปเรียกข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ทุกครั้งไป ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะแอพพลิเคชันที่ต้องการ IOPS (Input/Output Operation Per Second) สูงๆ เช่น ฐานข้อมูล การประมวลผลธุรกรรมออนไลน์ อีเมล์เซิร์ฟเวอร์ เวอร์ชวลแมชชีน เป็นต้น





SSD Cache Acceleration เราสามารถเลือกใช้ SATA SSD 2.5 นิ้ว หรือ M.2 NVMe มาใช้ก็ได้โดยต้องตรวจสอบว่า QNAP NAS รุ่นใดบ้างที่มีช่องใส่ M.2 NVMe หรือหากจะใช้ SATA SSD สามารถใส่ในช่องไหนได้บ้าง และ หากจะกำหนดขนาดของ SSD Cache ต้องมีหน่วยความจำในเครื่องให้เพียงพอด้วย ตรวจสอบข้อมูลได้ที่ลิ้งค์นี้

Which models can support SSD caching and how much memory is needed?


เมื่อมี SSD พร้อมที่จะเปิดใช้งาน SSD Cache Acceleration ก็เริ่มลงมือตามขั้นตอนกันเลย

- สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังในการใช้งานต้องเข้าใจก่อนว่า SSD Cache Acceleration เป็นการสร้าง Storage ขึ้นมาชุดหนึ่ง ต้องตรวจตราดูแลให้ฮาร์ดแวร์ทำงานตามปกติเสมอ และหากไม่ต้องการใช้งานแล้ว ต้องมีการปิดการใช้งาน Cache Acceleration ก่อนเสมอ 

ห้ามดึงออกมาจาก QNAP NAS ไม่ว่าเครื่องจะปิดอยู่ก็ตาม เพราะหากเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาแล้ว ระบบไม่พบ SSD Cache ที่เคยกำหนดการใช้งานแล้ว จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ 


- การใส่ 2.5" SATA SSD สามารถใส่ได้เลยไม่ต้องปิดเครื่อง แต่ M.2 NVMe ต้องปิดเครื่องก่อน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เริ่มลงมือกันได้เลย ในตัวอย่างนี้เป็นการใช้ 2.5" SATA SSD จำนวน 2 หน่วยใส่ในช่องด้านหน้าของ QNAP NAS

- เมื่อล๊อคอินเข้าที่ Control Panel และไปที่ Starage & Snapshots ให้คลิ๊กที่ Diskd/VJBOD เพื่อดูสถานะของฮาร์ดดิสก์ที่ติดตั้งไว้ และ ตรวจสอบ Storage Pool และ Volume ว่าอยู่ในสถานะพร้อมทำงาน (Ready)





- ที่เมนูด้านซ้ายกดที่ Cache Acceleration แล้วกด Create ที่อยู่ด้านบน 


- เครื่องจะแสดง SSD ที่ติดตั้งอยู่ ให้เราติ๊กเลือก SSD ที่ต้องการใช้งาน 
          LRU : กำหนดให้ Cache เก็บข้อมูลที่ใช้งานบ่อยที่สุดไว้ แต่จะใช้งานซีพียูมากหน่อย
          FIFO : กำหนดให้ Cache เก็บข้อมูลใหม่ที่สุดไว้ ไม่โหลดซีพียู แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่า LRU
          Read-Only : กำหนดให้ Cache ทำงานในโหมดการอ่านเท่านั้น
          Read-Write : กำหนดให้ Cache ทำงานในโหมดการอ่านและเขียน
          RAID Type : กำหนด RAID ที่ต้องการ แนะนำ RAID 1

กด Next เพื่อไปหน้าถัดไป


- เลือกโหมดการทำงานของ SSD ซึ่งขึ้นกับลักษณะการใช้งานข้อมูลส่วนใหญ่ของเรา

          Accelerate random I/O : เฉพาะข้อมูลขนาดเล็กเท่านั้นที่จะเก็บใน Cache ข้อมูลขนาดใหญ่ให้ไปดึงจากฮาร์ดดิสก์โดยตรงเลย โหมดนี้เหมาะสำหรับ งานลักษณะ รูปภาพ ดาต้าเบส เวอร์ชวลไลเซชั่น

          Accelerate sequential I/O : ข้อมูลทุกขนาดทั้งใหญ่หรือเล็กเก็บใน Cache หมด โหมดนี้เหมาะสำหรับ งานลักษณะ วิดีโอสตรีมมิ่ง ไฟล์ขนาดใหญ่

กด Next เพื่อไปหน้าถัดไป


- เลือก Volume สำหรับใช้งานร่วมกับ Cache Acceleration


- กดจะยืนยันการสร้าง Cache Acceleration จะมีการแจ้งเตือนให้เรารับทราบและกดยืนยัน

            ข้อมูลใน SSD ที่จะนำมาทำ Cache จะถูกลบทั้งหมด
            หากนำ SSD Cache ที่ยัง Active อยู่ออก โดยไม่ได้ทำการปิด (OFF) จะทำให้ข้อมูลหายได้

กดยืนยัน  ✓ I understand แล้วกด OK



- แสดงสถานะการทำงานของ SSD Cache Acceleration








  

 

Close Menu