QVPN คือแอพพลิเคชั่นสำหรับการสร้างการเชื่อมต่อทางไกลโดยการใช้งานเป็น VPN Server โดยมีการจัดการแบบรวมศูนย์สามารถเลือกใช้โปรโตคอลที่ต้องการ และการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
VPN (Virtual Private Network) คือ เครือข่ายเสมือนส่วนตัว ที่ทำงานโดยใช้เครือข่ายสาธารณะอย่างอินเตอร์เน็ต แต่จะมีการเข้ารหัสข้อมูลก่อนส่ง เพื่อให้ข้อมูลมีความปลอดภัย จึงถูกนำมาใช้กับองค์กรที่มีสาขาอยู่ตามที่ต่างๆและต้องการต่อเชื่อมเข้าหากันอย่างแพร่หลาย
การเริ่มใช้งาน ก่อนอื่นเลยต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น QVPN Service จาก App Center ให้เรียบร้อย
โดยการเปิด App Center เลือกหมวดหมู่ Utilities และติดตั้ง QVPN Service 3
QVPN Service 3 ที่เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบันในขณะที่เขียนบทความนี้ จะรองรับโปรโตคอลได้หลายอย่างดังนี้
- QBelt
- PPTP
- L2TP/IPSec (PSK)
- OpenVPN
- WireGuard
เราจะนำเสนอวิธีการใช้งานของแต่ละโปรโตคอลเรียงไปตามลำดับ
แต่ไม่ว่าจะเลือกโปรโตคอลไหนในการเชื่อมต่อ สิ่งแรกที่ต้องทำคือเปิดใช้งาน myQNAPcloud ก่อน
เพราะการเชื่อมต่อกับ VPN Server ต้องมีการระบุที่อยู่ของเซิร์ฟเวอร์ผ่าน DDNS เราได้แนะนำวิธีไว้แล้ว
การตั้งค่า myQNAPcloud ให้รีโมทเข้ามาใช้งาน QNAP NAS
1) QBelt เป็นโปรโตคอลของทาง QNAP ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการใช้งานกับ QNAP NAS มีการเข้ารหัสแบบ AES 256-bit ให้ความปลอดภัยสูง
การเปิดใช้งานให้ดำเนินการตามนี้
- เปิด QVPN Service 3 เมนูด้านซ้ายเลือก QBelt
- หน้าต่างด้านขวา ติ๊ก ✓ Enable QBelt server
VPN client IP pool : เป็น IP Address ที่จะจ่ายให้เครื่องที่เชื่อมต่อเข้ามา แนะนำให้ใช้ค่าที่กำหนดมา
Server port : UDP 433 เป็นพอร์ตตั้งต้นมา หากต้องการให้ปลอดภัยมากขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นหมายเลขอื่น
Preshared key : เป็นรหัสลับที่กำหนดขึ้นมา เครื่องลูกข่ายต้องใช้รหัสนี้ ในการเชื่อมต่อเข้ามา
Maximum number of clients : จำกัดจำนวนเครื่องลูกข่ายที่จะเชื่อมต่อเข้ามาพร้อมกัน
ค่าตั้งต้นอยู่ที่ 5 อุปกรณ์
Network interface : เป็นการกำหนดช่องทางการเชื่อมต่อ ค่าตั้งต้นคือ All
คืออนุญาตให้เข้าทุกช่องเน็ตเวิร์กพอร์ต
DNS Server : ค่าตั้งต้นคือ NAS default แนะนำให้เลือกแบบนี้ เพราะจะมีความปลอดภัยและสะดวกกว่า
Enable Debug Log : บันทึกการเชื่อมต่อ สำหรับแก้ปัญหา จะมีผลต่อความเร็ว แนะนำว่าไม่ต้องติ๊ก
Apply : บันทึกและเริ่มการทำงาน QBelt server
- Privilege Settings : เป็นการกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน VPN Server ว่าสามารถใช้งานโปรโตคอลไหนได้
- Router port forwarding : ตั้งค่าการฟอร์เวิร์ดพอร์ต QBelt VPN 443 ไปไอพีของ QNAP NAS
- ติดตั้งแอพพลิเคชั่น QVPN Device Client
เนื่องจากโปรโตคอล QBelt ไม่มีแอพพลิเคชั่น Built-in ในระบบปฏิบัติการต่างๆ จึงต้องทำการติดตั้งแอพพลิเคชั่นนี้ลงในอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานด้วย โดยรองรับทั้ง MAC, Windows, iOS และ Android
Windows 8 (ขึ้นไป); macOS 10.13 (ขึ้นไป); Android 5.1 (ขึ้นไป); iOS 10 (ขึ้นไป)
https://www.qnap.com/en/utilities/networking
ในตัวอย่างนี้จะใช้เครื่องลูกข่ายเป็น Windows 10
Download & Install : เหมือนการติดตั้งโปรแกรมทั่วไป
Select your region : โปรแกรมให้เลือกพื้นที่ใช้งาน ให้เลือก Global
เมื่อเปิดหน้าต่าง QVPN Device Client ขึ้นมา ให้สร้างโปรไฟล์การเชื่อมต่อ
- Import from QNAP ID : เป็นการดึงข้อมูลอัตโนมัติ โดยการระบุอีเมล์ที่สมัคร myQNAPcloud
- Add Manually : เป็นการใส่ข้อมูลต่างๆด้วยตัวเอง มีรายละเอียดดังนี้
Device Type : NAS
Profile Name : ตั้งชื่อโปรไฟล์ กรณีมีการตั้งค่าใช้งานหลายอย่าง ที่แตกต่างกัน
Username : บัญชีผู้ใช้งานที่ได้รับการอนุญาตไว้ในส่วนของ VPN user
Password : รหัสผ่านของผู้ใช้งาน
Host/IP or myQNAPcloud Name : ชื่อ myQNAPcloud ที่ตั้งไว้
หรือ IP Address ของหน่วยงานที่กำหนดไว้
VPN Type : เลือกโปรโตคอลที่จะใช้ กรณีนี้เลือก QBelt
Pre-Shared Key : รหัสลับที่กำหนดที่ VPN Server
VPN Port : 443 ที่เป็นพอร์ตตั้งต้น หากมีการเปลี่ยนต้องระบุให้ตรงกัน
- เปิด QVPN Service 3 เมนูด้านซ้ายเลือก PPTP
- หน้าต่างด้านขวา ติ๊ก ✓ Enable PPTP VPN server
VPN client IP pool : เป็น IP Address ที่จะจ่ายให้เครื่องที่เชื่อมต่อเข้ามา แนะนำให้ใช้ค่าที่กำหนดมา
Maximum number of clients : จำกัดจำนวนเครื่องลูกข่ายที่จะเชื่อมต่อเข้ามาพร้อมกัน
Authentication : มาตรฐานการยืนยันตัวตน เลือก MS-CHAPv2
Encryption : ระดับของการเข้ารหัสข้อมูล เลือก (AES-128-bit)
Network interface : เป็นการกำหนดช่องทางการเชื่อมต่อ ค่าตั้งต้นคือ All
Apply : บันทึกและเริ่มการทำงาน
- Privilege Settings : ตรวจสอบการกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน VPN Server
- Router port forwarding : ตั้งค่าการฟอร์เวิร์ดพอร์ต PPTP VPN 1723 ไปไอพีของ QNAP NAS
- สร้างการเชื่อมต่อ ในตัวอย่างนี้จะใช้เครื่องลูกข่ายเป็น Windows 10 ซึ่งมีแอพพลิเคชั่นอยู่แล้ว
Network & Internet settings :
เลือก VPN และ กดเครื่องหมาย + Add a VPN connection
Add a VPN connection :
VPN Provider : เลือก Windows (built-in)
Connection name : ตั้งชื่อโปรไฟล์
Server name or address : ชื่อ myQNAPcloud ที่ตั้งไว้ หรือ DDNS อื่นที่ใช้งาน
VPN type : เลือก Point to Point Tunneling Protocol (PPTP)
Type of sign-in info : เลือก User name and password
Username : บัญชีผู้ใช้งาน VPN ที่ได้รับอนุญาต
Password : รหัสผ่าน
กด Save เพื่อบันทึกและเริ่มการทำงาน
- เปิด QVPN Service 3 เมนูด้านซ้ายเลือก OpenVPN
- หน้าต่างด้านขวา ติ๊ก ✓ Enable OpenVPN Server
VPN client IP pool : เป็น IP Address ที่จะจ่ายให้เครื่องที่เชื่อมต่อเข้ามา แนะนำให้ใช้ค่าที่กำหนดมา
Server Port : เลือกว่าจะใช้ TCP หรือ UDP และ กำหนดหมายเลขพอร์ต
ค่าตั้งต้นคือ UDP 1194 (UDP จะง่าย ไม่ซับซ้อน จึงเร็วกว่า TCP เล็กน้อย)
Maximum number of clients : จำกัดจำนวนเครื่องลูกข่ายที่จะเชื่อมต่อเข้ามาพร้อมกัน
Encryption : ระดับของการเข้ารหัสข้อมูล เลือก (AES-128-bit)
Network interface : เป็นการกำหนดช่องทางการเชื่อมต่อ ค่าตั้งต้นคือ All
Apply : บันทึกและเริ่มการทำงาน
- Privilege Settings : ตรวจสอบการกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน VPN Server
- Router port forwarding : ตั้งค่าการฟอร์เวิร์ดพอร์ต OpenVPN UDP 1194 ไปไอพีของ QNAP NAS
- Download Configuration File : จะเป็นการโหลดไฟล์ .ovpn ที่จะนำมา import ใน OpenVPN Client
- สร้างการเชื่อมต่อ ต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น OpenVPN Client มาติดตั้งในอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ
Download & Install : เหมือนการติดตั้งโปรแกรมทั่วไป
เมื่อเปิดโปรแกรมใช้งานครั้งแรก จะมีการ Import Profile ให้เลือกแบบ URL กับแบบ File
เราสามารถลาก ไฟล์ .ovpn ที่โหลดมาก่อนหน้านี้ มาไว้ในกรอบสีฟ้า หรือ Browse เพื่อไปให้ไฟล์
Server Hostname : จะปรากฏโดยอัตโนมัติ จากการ Import Profile .ovpn
Username : บัญชีผู้ใช้งาน VPN ที่ได้รับอนุญาต
Password : รหัสผ่าน
NAS Thailand
จำหน่ายระบบ NAS ราคาพิเศษ
พร้อมบริการหลังการขายที่มีความชำนาญ